วันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ธรรมะจากท่านพระอาจารย์อภัย

            ในสังคมเลว ไม่จำเป็นต้องมีแต่คนที่เลวร้าย... ในสังคมบริสุทธิ์ก็ใช่ว่าจะมีแต่คนที่มีความคิดจิตใจบริสุทธิ์ผุดผ่องเสมอไป...ทุกๆ สังคมย่อมมีทั้งคนดีและคนเลว ถ้าเรามองโลกในแง่ดี และทำใจให้เป็นกลาง รู้ปล่อยว่างเรื่องกังวลต่าง ๆ ที่มากมาย แล้วเปิดใจให้กว้างก็จะเข้าใจธรรมชาติและโลกนี้อย่างแท้จริง


           สวัสดี...รู้สึกว่าวันนี้สั้นกว่าวันนั้น เพราะวันนี้ไม่ใช่วันนั้น จึงไม่ขอเอาเรื่องในวันนั้นมาพูดในวันนี้ ทั้งนี้และทั้งนั้น ก็ต้องขอขอบคุณ คุณโยมหวาน ที่หางานให้พระทำ โดยวานให้อาตมาเขียนบทความให้ เพื่อจะนำไปลงในสิ่งพิมพ์ ก็รู้สึกให้หวั่นใจนิดๆ เพราะไม่เคยเขียนบทความกับเขาเลยตั้งแต่เกิดจนกระทั้งเพิ่งจะหัดเดินนี่แหละ...^__^แต่ ในชีวิตของคนเราย่อมมีครั้งแรกเสมอ เช่น รักครั้งแรก ผิดหวังครั้งแรก  เสียใจครั้งแรก... อะไร ๆ ที่เป็นครั้งแรกเราจะจดจำได้ดีเสมอ โดยเฉพาะความผิดหวัง ถ้าเราสังเกตตัวเราให้ดี จะเห็นว่า เรามักจะจดจำความผิดหวังหรือความเสียใจได้ดีกว่าความสุขหรือความสมหวังซะอีก อาจเป็นเพราะเรามองโลกในแง่ร้ายเกินไป ก็เป็นได้

            หลวงปู่ชา ท่านกล่าวว่า
“ทุกอย่างในโลกนี้มันถูกอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด”
            คำสอนของหลวงปู่ชา ง่ายๆ ไม่ซับซ้อน แต่อุดมด้วยเนื้อหาแห่งสัจธรรมที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ด้วยประโยคง่ายๆ นี้เอง ทำให้นึกถึงพระพักตร์ของพระพุทธองค์ที่มักจะทรงแย้มสรวลด้วยความผ่อนคลายและเปี่ยมด้วยเมตตาอยู่เสมอ ยามที่มีสัตว์โลกผู้ถูกความทุกข์ท่วมทับจนทุกข์หนัก เข้าไปกราบขอให้พระองค์ทรงเป็นที่พึ่ง แต่ทุกครั้งที่มีสัตว์ผู้ตกทุกข์ได้ยากเข้าไปเฝ้าขอพึ่งพระบารมี ไม่มีเลยแม้แต่ครั้งเดียวที่พระองค์จะทรงตกพระทัย หรือทรงเห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่จนทรงสูญเสียปกติภาพ ตรงกันข้าม พระองค์กลับทรงปฏิสัมพันธ์ต่อความสุข ความทุกข์ ของมนุษยชาติด้วยราคาเดียวกันอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
            ที่เป็นเช่นนี้ นั่นคงเป็นเพราะทรงตระหนักเป็นอย่างดีว่า
            “ทุกอย่างในโลกนี้มันถูกอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด”

             คราวหนึ่ง มีสตรีชาวบ้านคนหนึ่งถูกความทุกข์อันเนื่องมาจากการสูญเสียลูกชาย จนวิกลจริต เธอได้อุ้มศพลูกชายไว้ โดยไม่ยอมทำการฌาปนกิจ เพราะเชื่อว่าลูกยังไม่ตาย หรือถึงตายไปแล้ว ก็ต้องมียาวิเศษที่จะชุบชีวิตลูกให้ฟื้นขึ้นมาได้
             วันหนึ่ง เธออุ้มศพลูกน้อยที่เริ่มส่งกลิ่น ซมซานไปจนถึงพุทธสำนัก เมื่ออยู่ต่อพระพักตร์พระพุทธองค์แล้วเธอจึงได้สติ พลางกราบทูลถามว่า พระองค์สามารถเยียวยาลูกชายของเธอให้ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาดังเดิมได้หรือไม่    ทรงทออดพระเนตรดูเธอผู้ถูกความทุกข์ เพราะความพลัดพรากแผดเผาอยู่ พลางแย้มพระสรวลด้วยเมตตา ตรัสแก่เธอว่า
        “น้องหญิง เราสามารถชุบชีวิตลูกชายของเธอได้ แต่ว่า เธอต้องไปหาเมล็ดผักกาดจากเรือนที่ยังไม่เคยมีคนตายมาก่อน มาให้เราสักหนึ่งกำมือเถิด ถ้าได้เมล็ดผักกาดจากเรือนที่ยังไม่เคยมีคนตายมาแล้ว เราตถาคต จะปรุงยาชุบชีวิตลูกชายของเธอด้วยเมล็ดผักกาดนั้น”
หญิงสาวดีใจจนน้ำตาไหล เธอออกเดินทางจากพระอาราม มุ่งหน้าเข้าสู่หมู่บ้าน เพื่อขอเมล็ดผักกาดจากบ้านที่ไม่เคยมีคนตาย แต่จนแล้วจนรอด เธอกลับได้รับแต่คำตอบปฏิเสธ จากทุกหลังคาเรือนที่เธอเอ่ยถาม   เมล็ดผักกาดนั้น จะหาจากเรือนหลังไหนก็ได้ แต่พอเธอเสนอเงื่อนไขที่สองที่ว่า “จากบ้านที่ยังไม่เคยมีคนตาย” เมล็ดผักกาดก็กลายเป็นของหายากขึ้นมาทันที
คุณแม่ยังสาวผู้สูญเสียลูกชาย อุ้มศพลูกน้อยเดินขึ้นเดินลงจากเรือนหลังนั้นสู่เรือนหลังนี้ แต่ทุกหลังคาเรือนที่เธอไปเยือน ล้วนแต่มีคำตอบปฏิเสธ เรือนหลังไหนๆ บ้านหลังไหนๆ ก็ล้วนแล้วแต่เคยมีคนตายมาก่อนแล้วทั้งสิ้น
             ในที่สุด ทุกๆ คำตอบปฏิเสธ ก็ได้สอนบทเรียนบทหนึ่งให้แก่เธอว่า “ความตายเป็นของธรรมดา ใช่แต่เพียงลูกชายของเราเท่านั้นที่ต้องตาย แท้ที่จริงแล้ว คนในโลกล้วนแต่จะต้องตายเหมือนกันทั้งหมด โดยไม่มีข้อยกเว้น”
              พลันที่จิตตื่นรู้อันเป็นผลจากประสบการณ์ตรงที่เกิดแต่การเที่ยวหาเมล็ดผักกาดจากบ้านที่ยังไม่เคยมีคนตาย เมฆหมอกแห่งความทุกข์ก็คลี่คลายหายไปจากชีวิตของเธอ หญิงสาวยอมให้ทำการเผาศพลูกโดยดี  จากนั้นก็ตรงไปเฝ้าพระพุทธองค์ กราบทูลรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ตรงให้ทรงทราบ
              สิ้นเสียงกราบทูลรายงานความคืบหน้าในทางธรรมของเธอแล้ว พระพุทธองค์ทรงแย้มพระสรวลน้อยๆ พระพักตร์เจือด้วยพระเมตตาเต็มเปี่ยม นาทีนั้นหญิงสาวเข้าใจทันทีว่า สำหรับพระองค์แล้ว ความตาย ความพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รักเป็นเรื่องธรรมดา
              แต่นั้นเป็นต้นมา อดีตคุณแม่ผู้ถูกความพลัดพรากจู่โจมจนวิกลจริต จึงหันหน้าเข้าเส้นทางธรรม อุทิศตนบวชเป็นภิกษุณีในพระธรรมวินัย และกลายเป็นพระอรหันต์ภายในเวลาไม่นานนัก

คำของหลวงปู่ชาที่ว่า
            “ทุกอย่างในโลกนี้มันถูกอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด” 
เป็นถ้อยคำสำคัญมาก คำๆ นี้ เปลี่ยนชีวิตคนมาแล้วมากต่อมาก มิน่าเล่า เมื่อแรกที่พระพุทธองค์ทรงแสดงปฐมเทศนา จึงทรงเริ่มมรรคมีองค์ ๘ ด้วย “สัมมาทิฐิ” คือการเห็นชอบ การเห็นถูก การเห็นตรง (ตามความเป็นจริง)
การเห็นชอบ = การเห็นถูก
การเห็นถูก = การเห็นตรง
การเห็นตรง = การเห็นไม่ผิด
ที่ว่าเห็นไม่ผิด คือ เห็นสอดคล้องกับความจริงที่เป็นจริงของมันอย่างนั้นเอง
                                                                                                            อภัยภูเบศร์ ภิกฺขุ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น